ผู้ให้สัมภาษณ์
คุณโบ๊ท : ผมชื่อจริงว่า ศิรศักดิ์ ชัยสิทธิ์ ชื่อเล่นชื่อ โบ๊ท อยู่กับบริษัท Sansuisha มาเป็นระยะเวลาประมาณ 3 ปีครึ่งซึ่งเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ได้รับโอกาสจากทางบริษัทได้ไปทำงานประเทศญี่ปุ่น ที่ Kanto Sansuisha ครับ อยู่จังหวัด Tochigi อำเภอ Utsunomiya ครับ ก็ได้ไปเรียนรู้งานต่างๆทั้งทางด้านของโรงงาน ด้านของเซลล์และการประสานงานทางด้านเซลล์กับลูกค้า ผมเพิ่งกลับมาทำงานที่ประเทศไทยเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว (2021) ตอนนี้เป็น Sales Team Leader (หัวหน้าฝ่ายขาย) คอยดูแลและประสานงานทางด้าน Customer Service เวลาลูกค้ามีปัญหาอะไรมาก็จะแจ้งเข้ามาทาง Sales Customer Service ครับ
คุณโบ๊ท : มีการปรับตัวอยู่ครับ เพราะว่าการทำงานที่ญี่ปุ่น จะมีที่เรียกว่า ความ Kibishii (ความเข้มงวด) หรือมีกฎ ระเบียบที่ Fixed ไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าคุณจะต้องทำอย่างนี้ 1 2 3 4 ตาม Process (ขั้นตอน) แต่ของคนไทยจะมีความ Flexible มากกว่า (ความยืดหยุ่น) แต่สิ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือวิธีการทำงาน ถ้าเรามีลูกค้าเป็นคนญี่ปุ่น หรือลูกค้าที่เป็นบริษัทญี่ปุ่น เขาก็จะมีการทำงานที่เป็นขั้นตอนเหมือนประเทศญี่ปุ่น เพียงแต่ว่าเราเปลี่ยนภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาไทยเท่านั้นเองครับ ซึ่งถ้าถามว่ามันทำงานยากไหม สำหรับผมการทำงานก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากครับ เพราะทาง Sansuisha เอง ก็มีลูกค้าที่เป็นบริษัทญี่ปุ่นมากกว่า 80% อยู่แล้ว
คุณโบ๊ท : นายญี่ปุ่นเองและบริษัทแม่ ทาง Sansuisha ของเรา ก็เล็งเห็นถึงความสำคัญในการอบรมพนักงาน นอกจาก Skill การทำงานที่คุณมียู่แล้ว เขาก็ต้องการเพิ่ม Skill ทางด้านต่างๆ อย่างโบ๊ทเองนะครับ ก็มี Skill ทางด้านการพูดบ้างอยู่แล้ว แต่ว่าอาจจะไม่มีการเรียบเรียงหรือการวาง Strategies ในการพูดครับ เลยอยากพัฒนาในส่วนนี้ และได้มีโอกาสเข้าร่วมอบรมกับทางคุณแวว ในคอร์ส Business Communication ด้วย ปกติทางบริษัทจะมีแผนการอบรมในแต่ละปีอยู่แล้ว และในปีนี้เราสามารถแจ้งได้ว่าเราอยากจะอบรมอะไรบ้าง พนักงานเป็นคนเลือกเองได้ครับ หลังจากนั้นทางนายก็จะพิจารณาและ Approve ครับ
คือเราสามารถเสนอสิ่งไหนที่เราอยากจะเพิ่มความรู้หรือเพิ่มทักษะแล้วมันสามารถเกี่ยวโยงกับการทำงานของเราได้ คือทางบริษัทจะมีแบบฟอร์มมาให้ว่าคุณอยากจะอบรมเรื่องอะไร แล้วคุณคิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการทำงานของคุณอย่างไรบ้าง ซึ่งมันเป็นเหมือนการรีวิวตัวเองเหมือนกัน ว่าเรายังขาดอะไร หรือเราต้องการอะไรเพิ่มเติม ก็สามารถนำเสนอ และถ้านายรู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์ต่อองค์กร และคุณยังขาดตัวนี้อยู่จริงๆ เขาก็จะ Approve มาให้ครับ
คุณโบ๊ท : ก่อนอื่นต้องเรียนตามตรงนะครับว่าเป็นคนที่กลัวเรื่องการอบรมออนไลน์มาก เพราะผมเองรู้สึกว่าเป็นคนที่ไม่สามารถมีสมาธิกับหน้าจอได้นาน ด้วยความที่เป็นคนบุคลิกแบบนี้ครับ ต้อง Active ตลอดเวลา เลยคิดว่าน่าจะทำได้ยาก และคือการเรียนออนไลน์ถ้าต้องให้เสียเงินเอง ผมอาจจจะเลือกเป็นตัวเลือกท้ายๆในการเรียน เพราะรู้สึกว่าตัวเองอาจจะไม่มีการมีสมาธิกับตรงนั้นได้ 100% หรือเปล่า? แต่พอมาเรียนจริงแล้วรู้สึกว่า ของทาง HRI จะมีการให้ทำ Workshop ได้มีการสนทนากันเรื่อยๆ มันเลยทำให้เรา Concentrate ได้ก็ถือว่าเป็นการเปิดใจครั้งแรกในการเรียนออนไลน์ที่ดีครับ
คุณโบ๊ท : ผมมองว่าการอบรมออนไลน์กับแบบ Face to Face ในปัจจุบันมันมีความใกล้เคียงกันมากขึ้น เพราะด้วยเทคโนโลยีต่างๆ มันสามารถทำให้เราเห็นหน้าเห็นตากันได้ สามารถทำให้เราพูดคุยกันได้แบบ Real Time ก็สามารถทำให้เราเข้าใจเนื้อหาที่เราจะอบรม
แต่ข้อแตกต่างอย่างหนึ่งคือว่า การอบรมแบบ Face to Face มันสามารถมีอุปกรณ์ต่างๆ สามารถมีสื่อการสอนที่สามารถเข้าถึงและสัมผัสได้โดยตรง นี่ก็อาจจะเป็นข้อได้เปรียบกว่าการอบรมออนไลน์
แต่ในการอบรมออนไลน์มันก็ได้เปรียบตรงที่ว่า เราสามาถพูดคุยได้อย่างชัดเจน เรื่องการใช้น้ำเสียง หรือว่าการที่เรามีสื่อการสอนผ่านหน้าจอ อะไรแบบนี้ครับ มันสามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่า
คุณโบ๊ท : ในมุมมองส่วนตัวของผม ผมจะใช้วิธีการประเมินตัวเองก่อนว่า สิ่งที่ผมน่าจะทำได้ไม่ดีในการเรียนออนไลน์คืออะไร? เช่นการไม่ Concentrate เพราะฉะนั้น ผมจำเป็นจะต้อง ทำการศึกษาข้อมูลมาเบื้องต้นก่อนว่า วันนี้เราจะทำการออนไลน์เรื่องอะไร เนื้อหาประมาณไหน เพื่อเป็นการฝึกว่าเราต้องมีสมาธิในส่วนไหน เรียนถึงไหนแล้ว อะไรแบบนี้ครับ
และอีกอย่างหนึ่ง คือ เรื่องการพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าเราพักผ่อนไม่เพียงพอแล้ว การเรียนออนไลน์มันไม่มีใครกระตุ้นเรา มันอาจจะทำให้เรา ง่วง หรืออาจจะเพลียได้ ด้วยความที่ออนไลน์ต้องใช้ความตั้งใจมากกว่าปกติด้วยครับ เราจำเป็นจะต้องใช้สมาธิในการเพ่งหน้าจอ ใช้สมาธิในการเรียนและการฟังครับ ก็อาจจะทำให้เพลียได้ง่าย ถ้าเราพักผ่อนไม่เพียงพอ
คุณโบ๊ท : ผมมองว่า ถ้า Trainer มีน้ำเสียงที่น่าสนใน และมีกิจกรรมให้ผู้เข้าร่วมอบรมออนไลน์ได้ทำร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กันมากๆ จะสามารถทำให้เราดึงความตั้งใจหรือดึงสมาธิของผู้ร่วมอบรมออนไลน์ได้ดีมากเลยครับ
คุณโบ๊ท : ผมว่าอย่างที่กล่าวไปข้างต้นครับว่าการเรียนออนไลน์ในปัจจุบันมันก็มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทำให้เราได้เห็นหน้าเห็นตากัน ได้เห็นสื่อการสอนได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น หากปัจจุบันแค่เราพูดคุยกันรู้เรื่อง แค่เรามีการสอนกันรู้เรื่อง ผมว่ามันไม่ได้ลดประสิทธิภาพในการเรียนไปเลย ถ้าคุณมีสมาธิ มีความตั้งใจในการเรียน ซึ่งบางทีเราไป Face to Face เราไปที่ห้องใหญ่ๆ บางทีเราอาจจะมีสิ่งเร้าอื่นๆ
แต่ถ้าเรียนออนไลน์มันก็จะได้ความจดจ่อกับที่หน้าจอจริงๆ มีแต่ตัวเราเองนี่ล่ะครับ ที่จะสมาธิหายไป ผมเลยมองว่ามันไม่ได้เป็นการลดประสิทธิภาพนะครับ เพราะว่าเรามีเทคโนโลยีในการช่วยเหลือเยอะแยะมากมาย
คุณโบ๊ท : สิ่งที่ผมเห็นเป็นจุดเด่นของ HRI นะครับ คือเป็นการเรียนออนไลน์ที่ไม่น่าเบื่อ เพราะว่ามีการ Workshop ให้ทุก Section เลย เพราะเรียนทฤษฎีหนึ่งเสร็จ ก็มีการ Workshop ต่อเลย มันทำให้เราได้ใช้ทฤษฎีนั้นเลย และก็มีการปฏิสัมพันธ์กับทางผู้สอนเอง และปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมเรียนออนไลน์อีกด้วย อันนี้เป็นสิ่งที่ผมมองว่าเป็นจุดเด่น และผมคิดว่ามันทำให้เราได้มีสมาธิและไม่น่าเบื่อต่อการเรียนออนไลน์
คุณโบ๊ท : หลังจากที่ได้เรียนนะครับ รู้สึกว่าในหัวของเรา มีการประมวลผลที่เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านของการฟัง การพูด เรามีการเรียบเรียงคำพูดได้ดีมากยิ่งขึ้น เช่นในกรณีที่ผมจะไปคุยกับลูกค้า และผมรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร แล้วก็รู้ว่าสถานการณ์ลูกค้าของตอนนี้เป็นอย่างไร เราก็จะมีการวางแผน โดยใช้ แผนภูมิต้นไม้ พีระมิด เครื่องมือที่ได้จากการอบรมไป มาวางแผนก่อน ว่าถ้าเราตั้งคำถามแบบนี้ ลูกค้าจะตอบมาอย่างไร แล้วเราจะไปทางไหนได้ต่อ รู้สึกว่าในหัวมีการคิดเป็นระบบมากขึ้น แล้วก็สื่อสารได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งภายในและภายนอกองค์กรเอง
คุณโบ๊ท : จริงๆผมมีแพลนจะอบรมกับ HRI อีกประมาณ 2 – 3 การอบรม รอให้ทาง HR ของทางบริษัทจัดสรรให้อีกที อาจจะเนื่องจากผู้เข้าอบรมยังไม่ถึงอาจจะต้องเลื่อนไปก่อน แต่ว่าถ้ามีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมสนใจ น่าจะเป็นเกี่ยวกับเรื่อง Story Telling พวกการสร้าง Story ต่างๆ เพราะว่ามันมีส่วนเกี่ยวกับเรื่องการขายเหมือนกันที่เราจะต้องมาสร้าง Story จากสินค้าของเรา หรือว่าเรียบเรียงตัว Story ผมว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และอาจจะเป็นเรื่องของการโฆษณา การประชาสัมพันธ์ ผมก็สนใจเช่นเดียวกัน
คุณโบ๊ท : อยากจะบอกว่า เราก็เป็นคนหนึ่งที่เคยกลัวการอบรมออนไลน์ มันเป็นแค่อย่างเดียวครับคือแค่ลอง ลองเข้ามาแล้วคุณจะเห็นว่า ความแตกต่างระหว่าง การอบรมออนไลน์กับ Face to Face มันต่างกันอย่างไร แล้วมันมีข้อดีข้อเสียอย่างไร
ซึ่งหลังจากนั้นคุณค่อยตัดสินดีกว่า ว่าคุณถนัดทางด้านไหน คุณจะไป Face to Face ก็ได้ หรือคุณจะไปออนไลน์ก็ได้ แต่แค่อยากจะให้ลองดู และผมก็มองว่าในปัจจุบัน เทคโนโลยีมันสามารถเกื้อกูลให้เราได้เรียนแบบออนไลน์ ยิ่งในสถานการณ์อย่างนี้ด้วย
ตามสถานการณ์ในปัจจุบันที่มันมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เราก็สามารถใช้เทคโนโลยีในการหาความรู้ในการพูดคุยกัน ไม่ต่างกับการทำ Face to Face เลย เพราะฉะนั้นอยากจะให้ทุกคนลองเปิดใจ และก็ลองมาเรียนออนไลน์สักครั้งดูครับ และจะรู้ว่าคุณชอบหรือไม่ชอบนั่นเองครับ
ในครั้งนี้ เราก็ได้รับฟังความคิดเห็นที่น่าสนใจต่อคอร์สอบรมออนไลน์ในปัจจุบัน
ต้องขอขอบคุณคุณโบ๊ทจาก บริษัท ซันซุยชะ (ประเทศไทย) จำกัด มากๆค่ะ
ที่มาร่วมพูดคุยและแชร์ถึงประสบการณ์การอบรมออนไลน์กับทางเรา
ท่านไหนสนใจทดลองอบรมออนไลน์กับทางเรา สามารถเช็ครายละเอียดและตารางอบรมเพิ่มเติมได้ที่ คลิก
159/37 อาคารเสริมมิตรทาวเวอร์ ชั้นที่ 23
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี : 0105562173254
Copyright © 2024 HRI (Thailand) Co.,Ltd. All rights reserved.
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ยอมรับทั้งหมด