ทิศทางในอนาคตของบริษัทในอีก 5 ปีข้างหน้าควรเป็นไปในแนวทางใด...

บริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด

"การอบรมเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแก้ปัญหา"

TOTO

THAILAND

       ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2563 บริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า TOTO ประเทศไทย) ได้จัด “การฝึกอบรมการเสริมสร้างความสามารถในการแก้ปัญหา” เป็นเวลา 2 วัน อะไรคือความเป็นมาของการตัดสินใจดำเนินการฝึกอบรมความคาดหวังและความกังวลเกี่ยวกับการฝึกอบรมนักเรียนรู้สึกอย่างไรและสถานะของ บริษัท หลังการฝึกอบรมเป็นอย่างไร เราได้สัมภาษณ์คุณ Takayasu Shimada, คุณปริญญา อัมพรรัตน์, คุณกนกวรรณ บัวทัน, คุณกฤษณะ มานะมิ่งมงคลและประธาน TOTO Thailand (สัมภาษณ์ในเดือนธันวาคม 2563)

TOTO Thailand x HRI Thailand

(จากซ้าย) คุณกนกวรรณ, คุณกฤษณะ, ประธานชิมาดะ, คุณปริญญา

(สัมภาษณ์ประธานชิมาดะ)

Q: ช่วยบอกเราเกี่ยวกับธุรกิจของTOTO ในไทย

      คุณทาคายาสุ ชิมาดะ (ต่อไปนี้จะเรียกว่าคุณชิมาดะ) : เป็นเวลา 11 ปีแล้วที่เราก่อตั้งบริษัทย่อยในประเทศไทยในปี 2552 ด้วยทุน TOTO 100% เราเริ่มต้นจากการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ และในปี 2556 ได้เริ่มธุรกิจขายให้กับลูกค้าในประเทศไทย โรงงานสุขภัณฑ์แห่งที่ 2 เริ่มเปิดดำเนินการในปี 2562 และโรงงาน Washlet เปิดดำเนินการในปีนี้ ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมามีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องตามแผน นอกจากนั้น จำนวนพนักงานก็เพิ่มขึ้นและสถานการณ์ปัจจุบันคือเราถูกกดดันให้ต้องพัฒนาพนักงานโดยเฉพาะระดับผู้บริหาร

Q: คุณตระหนักถึงความจำเป็นในการฝึกอบรมการบริหารจัดการครั้งแรกตอนไหน?

คุณชิมาดะ : ประมาณหนึ่งปีที่แล้ว ผมเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับลักษณะของบริษัทในอีก 5 ปีนับจากนี้ พนักงานชาวญี่ปุ่นจะเปลี่ยนหลังจากการหมุนเวียน 3 ถึง 5 ปี อย่างไรก็ตามพนักงานชาวไทยมักรอคำแนะนำจากผู้จัดการชาวญี่ปุ่น ในสถานะและสถานการณ์ของบริษัทที่จะเปลี่ยนไปทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงของญี่ปุ่นและวิธีการขับเคลื่อนบริษัทก็เปลี่ยนไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งดังกล่าวจะส่งผลต่อศักยภาพในการเติบโตของบริษัท หลังจากนั้นพวกเราซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงเริ่มมีการพูดกันว่า “อยากฝึกพนักงานไทยให้ดี แม้ว่าที่ญี่ปุ่นจะเปลี่ยนแปลงไปหรือคนไทยระดับสูงจะเริ่มเกษียณ” เราจะใช้เวลาประมาณ 5 ปีในการสร้างบริษัทที่ทุกคนสามารถพัฒนาได้ เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว จำเป็นต้องมีอำนาจของผู้จัดการระดับกลาง เช่น ผู้ช่วยผู้จัดการส่วนผู้จัดการส่วนและผู้ช่วยผู้จัดการแผนก เลยคิดว่าการฝึกตามลำดับชั้นเพื่อสิ่งนั้นจะนำไปสู่การเพิ่มแรงจูงใจ ผมจึงเริ่มมองหาเมนูการฝึกอบรมที่เหมาะสม

Q: ในประเทศไทย มีบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากที่สนับสนุนการ "Localization" และ "การปลูกฝังการบริหารจัดการแบบไทย" แต่ในความเป็นจริง ต้องมีการเตรียมแผนหลายอย่างทำให้ไม่สามารถทำได้สำเร็จ เช่น "ยุ่งและไม่สามารถจัดการได้" หรือ "ยังไม่ได้รับความไว้วางใจ" มีหลายกรณีที่ทำให้ไม่สามารถทำได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เพราะอะไรบริษัทToto จึงสามารถกำหนดแผนและนำไปปฏิบัติได้สำเร็จ?

คุณชิมาดะ : เดิมที TOTO Group เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับผู้คนและมีแนวคิดว่า หากไม่มีคนแล้วสิ่งดีๆก็ไม่สามารถทำได้ คำว่า “ทรัพยากรมนุษย์” มักเขียนว่า “คน” และ “วัสดุ” แต่เราคือ “ทรัพยากรมนุษย์” ซึ่งก็คือ “คน” และ “ทรัพย์สิน” เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วที่ผมเริ่มคิดแบบนั้นด้วย คือการรวมกันภายในองค์กร ในประวัติที่ผ่านมา มีความตื่นตัวในการเลี้ยงดูคนและเลี้ยงดูคนรุ่นต่อไปด้วย ผมไม่รู้ว่าเราถูกเลี้ยงดูมาอย่างถูกต้องหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่ผมคิดถึงรุ่นพี่ในอดีตราวกับว่าพวกเขาสามารถเติบโตขึ้นมาในรูปแบบต่างๆได้แม้จะเป็นเรื่องพื้นๆก็ตาม เช่น ผมมักจะสงสัยว่ามีอะไรให้เราหยิบจับหรือทำได้บ้าง มันเกิดขึ้นจากการที่พนักงานชาวญี่ปุ่นในปัจจุบัน มีการรวบรวมตัวกัน ที่ดูเหมือนจะมีการแบ่งปันสิ่งเหล่านี้ซึ่งกันและกัน จากนั้นก็จะเป็นเรื่องราวที่ว่า “ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็จะเสร็จปีหน้า ปีหน้าใช่ไหม” เริ่มจากคนก่อน…ถ้าแรงจูงใจของคนชั้นกลางสูงขึ้น บางทีคนรุ่นต่อไปก็จะมีการกระตุ้นตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ ผมจึงพยายามทำมันให้เร็วที่สุด

Q: จากพื้นฐานดังกล่าว ช่วยบอกให้เราทราบว่าคุณรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับ HRI ในกระบวนการค้นหาบริษัทเพื่อฝึกอบรมและตัดสินใจเลือกเราในครั้งนี้

คุณชิมาดะ : ผมสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ของเรา และสิ่งที่เราต้องการจะทำ แต่ละบริษัทที่ฝึกอบรมมีเมนูและความสำเร็จของตัวเองดังนั้น สิ่งแรกที่น่าสนใจคือบริษัท HRI สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ คือ ก่อนอื่นเขาจะรับฟังเรื่องราวของเราอย่างรอบคอบที่สุด แจ้งว่า “เรามีเมนูอบรมที่จะสามารถรองรับสถานการณ์ของบริษัทของคุณได้ คุณเห็นว่ายังไงบ้าง?” หลังจากผ่านไปหนึ่งหรือสองสัปดาห์ ผมต้องการการนำเสนอในส่วนของเนื้อหา และแบบผนของการอบรมและมีการประชุมกันอีกครั้ง ปัจจัยชี้ขาดในการตัดสินใจเลือก HRI คือเขาทำให้มีความรู้สึกว่าจะสามารถร่วมมือกันไปให้สำเร็จได้จริง

Q: เหตุการณ์ไหนที่ทำให้คุณตัดสินใจที่จะเลือกเราจริงๆ?

คุณชิมาดะ : เมื่อผมได้รับ PDF (ของข้อเสนอ) เมื่อผมเปิด PDF เป็นจำนวนมหาศาล (หัวเราะ) พอเห็นจำนวนหน้าเท่านั้นล่ะ นั่นคือจุดเริ่มต้นและผมมองไปในขณะที่คิดว่า “มันไม่ยากหรอกที่จะค่อยๆอ่านทำความเข้าใจ” ซึ่งเมนูนั้นก็เข้าใจได้ง่ายและเป็นระเบียบที่สุด โดยไม่ต้องรวมทุกอย่างเข้าเป็นกระดาษแผ่นเดียว ในรูปแบบที่ตรงกับประเภทของนักเรียน ผมคิดว่าคนไทยและคนญี่ปุ่นมีวิธีคิดที่แตกต่างกัน ผมค้นพบคำตอบทุกอย่างจากการเปิด PDF ดูตลอดเวลา ดังนั้นผมจึงคิดว่าสิ่งที่ทางHRIส่งมามีข้อมูลที่รองรับอย่างครบถ้วน

Q: คุณส่งข้อความใดถึงทุกคนในบริษัท เกี่ยวกับการดำเนินการฝึกอบรมครั้งนี้?

คุณชิมาดะ : เพื่อให้บริษัทเติบโตได้มากขึ้น จำเป็นต้องมีคนที่จัดการอย่างเหมาะสม ซึ่งนั่นไม่ได้หมายถึงผู้บริหารระดับสูง” สิ่งสำคัญคือต้องสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นคุณจึงเป็นเป้าหมาย “นั่นคือแรงจูงใจสำหรับการอบรมใช่หรือไม่? ผมสังเกตเห็นได้ แต่อันที่จริงบริษัทไม่เคยฝึกตามขั้นตอนแบบนี้มาก่อน จนถึงขณะนี้แม้ในการฝึกอบรมการคิดเชิงตรรกะก็ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ขั้นตอนหรือวิธีการต่างๆ ผมคิดว่ามันถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะต้องปรับเปลี่ยนเรื่องการอบรมภายใน

Q: แรงจูงใจของผู้เข้าอบรมเป็นอย่างไร?

คุณชิมาดะ : ตอนแรกทุกคนก็จะยุ่งกับงานที่มอบหมายก่อน (หัวเราะ) ที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้รับมอบหมายในการฝึกอบรมมาก่อนและในเรื่องของการแก้ปัญหาทุกคนจะเกิดคำถามว่า “ฉันควรคิดอย่างไรดี?” เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเกิดความสับสนที่สุด บอกตามตรงตอนที่ผมห็นว่าผมกำลังดำเนินการในเบื้องต้น ผมก็คิดว่ามันโอเคจริงๆ เพราะผมก็ได้เห็นเนื้อหาเช่นกัน แต่ถ้าผมคิดว่ามันค่อนข้างจะอยากสำหรับพนักงานในระดับนี้ ผมก็อดสงสัยว่าทุกคนจะสามารถฝึกให้เห็นผลได้จริงไหมตอนแรก ผมก็กังวลนิดหน่อยนะ

Q: มีจุดอื่นอีกไหมที่ทำให้คุณรู้สึกกังวล?

คุณชิมาดะ : คราวนี้มีนักเรียนประมาณ 45 คน แต่นักเรียนประมาณหนึ่งในสามหรือหนึ่งในสี่อาจไม่สามารถมีสมาธิฝนการอบรมได้ มันเหมือนกับ “ทำไมฉันต้องมาอบรม?” ผมกังวลเล็กน้อยว่าบางคนจะไม่สามารถอบรมออกมาได้สำเร็จ

Q: คุณประทับใจอะไรเมื่อเริ่มการฝึกจริงและได้เห็นสถานการณ์ในวันนั้น?

คุณชิมาดะ :  ความวิตกกังวลของผมได้หายไป หลังจากที่ผมได้อธิบายความหมายของการฝึกในช่วงก่อนเริ่มการอบรม ผมก็เริ่มสังเกตทั้งผู้สอนและดูบรรยากาศอยู่ประมาณ 30 นาที ผู้สอนจับทิศทางของผู้เข้าอบรมได้อย่างเหมาะสม มีการสร้างจิตสำนึกและบรรยากาศให้ทุกคนมีส่วนร่วม ผมสามารถรับรู้และเห็นได้ว่านักเรียนมีการตอบรับที่ดี หลังจากเห็น 30 นาทีแรก ผมรู้สึกได้ทันทีว่า “ใช่…นี่จะต้องเป็นเรื่องที่ดีอย่างแน่นอน”

Q: ในการมอบหมายงานการบ้าน(Assignment) ระหว่างอบรมกับหัวหน้างานที่ปรึกษา คิดว่าภาระของหัวหน้างานน่าจะหนักมากเช่นกัน แท้จริงแล้วพวกเขามีปฏิกิริยาแบบไหน?

คุณชิมาดะ :  ผมคิดว่าหัวหน้างานอาจรู้สึกสับสนเมื่อต้องแก้ปัญหาและการคิดเชิงตรรกะ เนื่องจากมีบางอย่างที่อาจมองเห็นได้เป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตามระดับของความเข้าใจจะเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับการสื่อสารระหว่างผู้เข้าอบรมที่ต้องอธิบายทีละงาน และการนำสิ่งที่ผ่านการอบรมาพูดคุยกับหัวหน้า หากคุณดูเนื้อหาที่อบรม คุณจะเห็นว่าใครคิดได้และใครคิดไม่เป็น ทั้งผู้เข้าอบรมและหัวหน้างานจะได้แลกเปลี่ยนความคิดและสิ่งที่เกิดขึ้นในการทำงานประจำวัน ดังนั้นผมคิดว่ามันเป็นแรงกระตุ้นที่ดีสำหรับผืที่เป็นหัวหน้างานของเรา ซึ่งบางครั้งโดยปกติเราจะไม่เห็น

Q: คุณรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของผู้เข้าร่วมอบรมหลังการฝึกอบรมหรือไม่?

คุณชิมาดะ :  ผมคิดว่าผู้ช่วยผู้จัดการส่วนและผู้จัดการส่วนที่เข้าร่วมหลักสูตรมีความกระตือรือร้นในการทำงานโดยรวมมากขึ้น จนถึงตอนนี้มันค่อนข้างจะยังเฉยๆกับการอรการมารายงานและการตัดสินใจ แต่ก็มีเด็ก ๆ เริ่มพูดว่า “ฉันคิดแบบนี้” หรืออะไรทำนองนั้นเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เมื่อมีสิ่งผิดปกติอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ผมจะพูดว่า “ลองคิดดูด้วยความคิดเชิงตรรกะดูสิ” ในขณะที่หัวเราะออกมากัน อยากให้ทุกคนได้แสดงออกและ “คิดว่าเป็นผลงานของทุกคน” หรือ “ถ้าคุณไม่มีความคิดก็ให้ลองคุยเสนอออกมา” ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องไม่ดีที่จะแสดงออก ผมคิดว่าบรรยากาศแบบนี้คงจะเปลี่ยนไปแน่นอน

Q: วิธีที่ผู้อบรมปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาและรุ่นน้องเปลี่ยนไปหรือไม่?

คุณชิมาดะ : ไม่ว่าจะมองไปที่สำนักงานขายหรือในโรงงาน ผมคิดว่าทัศนคติในการพยายามถ่ายทอดให้ลูกน้องของทุกคนเปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้ผมจะมองเห็นแค่ว่ามีเพียงคำแนะนำเฉพาะในบางเรื่องเท่านั้น แต่ผมไม่รู้รายละเอียดเพราะทุกคนพูดเป็นภาษาไทย แต่ก็ชัดเจนว่าคำอธิบายนั้นสุภาพหรือเป็นระบบขึ้น เพื่อให้ทุกคนเข้าใจ ผมคิดว่าถ้ามีการปรับใช้สิ่งที่เรียนมากขึ้น ในเวลาให้นานขึ้น ทุกอย่างจะดีขึ้นด้วย

Q: คุณคาดหวังอะไรสำหรับการเติบโตของผู้ที่เข้าอบรมต่อไป?

คุณชิมาดะ : หากคุณเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นและมองไปที่ภาพรวมของทั้งบริษัท ไม่ใช่เฉพาะส่วนที่คุณรับผิดชอบเพียงอย่างเดียว คุณจะสามารถพูดว่า “เราควรทำอะไรมากกว่านี้อีกหน่อย” และ “ทุกคนทำได้” ในรูปแบบของการขยายการดำเนินการและการร่วมมือกับส่วนต่างๆ ด้วยเหตุนี้มันจะดีมากถ้าเรายอมรับว่าทุกอย่างไม่สามารถสำเร็จได้ด้วยตัวเอง แต่ด้วยส่วนร่วมของทุกคน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ท้าทายมากกว่า แต่เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นได้เราก็จะกลายเป็น บริษัทที่ทำงานร่วมกับพนักงานท้องถิ่นในประเทศไทยได้ด้วยเช่นกัน

Q: คุณมีมุมมองที่ชัดเจนเกี่ยวกับภาพการทำงานของTOTO ในช่วงห้าปีนับจากนี้หรือไม่?

คุณชิมาดะ : ยังเห็นได้ไม่ชัดเลย (หัวเราะ) แต่ผมคิดว่าผมทำได้ ถ้าผมพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่เป็นอยู่ ซึ่งหลัง ๆ มานี่ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่

Q: มีสิ่งใดบ้างที่คุณคิดจะวางแผนการอบรม หรืออบรมผู้บริหารระดับสูงเพื่อให้ภาพการทำงานชัดเจนขึ้น?

คุณชิมาดะ : ไม่ว่าจะเป็นปีละครั้งหรือทุกๆ 6 เดือน บริษัทจะมีการบรรยายสรุปผลของกิจกรรม ไม่เหมือนกับการฝึกอบรมใหม่ทุกปี แต่เป็นการจัดระเบียบปัญหาในขอบเขตงานของตัวเองและจัดสถานที่เพื่อรับฟังพวกเขาอย่างแน่นอน ผมคิดว่าเราทำให้ทุกคนเข้าใจวัตถุประสงค์และสิ่งที่ต้องการจะสื่อถึงผลที่ออกมาไปแล้ว ผมคิดว่าทุกคนอาจจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ได้เรียนรู้ในการฝึกอบรมหรืออาจจะลืมมันไปก็ได้ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของเราเองที่จะคิดหาวิธีนำเรื่องที่อบรมมาปรับใช้กับงานให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

(จากซ้าย) ประธานชิมาดะ และ โยชิคาสุ เอกุสะ

จาก HRI Thailand

(จากซ้าย) คุณบอย, คุณแวว จาก HRI Thailand คุณเก๋, คุณเก่ง, คุณญา, ประธานชิมาดะ จาก TOTO Thailand และ โยชิคาสุ เอกุสะ จาก HRI Thailand

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า